Photobucket

แอนดริว งานโฆษณากาแฟ FRENCH CAFE

แอนดริวมอบเสื้อยีนส์ให้ประมูลหารายได้ช่วยเหลือช้าง งานนิทรรศการภาพถ่าย "คิดถึงปอ"

แอนดริว โฆษณากาแฟ FRENCH CAFE

Thursday 4 August 2011

Andrew@ Crush Magazine March 2009



DON'T WORRY IF ART MAKES YOU LAUGH

ข่าวสารตามหน้านังสือพิมพ์ ทั้งหลายของประเทศไทย (ทั้งที่ย่อยสลายได้หรือย่อยสลายไม่ได้) มักขู่ให้เรารู้สึกหวาดกลัวในเรื่องราวต่างๆ ได้เยี่ยมยอด ในขณะที่มีเนื้อหาหรือขู้มูลดิบไว้ให้เราใช้วิเคราะห์เพียงน้อยนิด ตั้งแต่ปัญหาภาวะโลกร้อน ปัญหา 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไล่ไปจนถึงปัญหาอาชญากรรมและเศรษฐกิจ

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในครั้งนี้ การได้มาสัมภาษณ์พระเอก/ ผู้จัดหนุ่ม ที่สื่อมักขู่ไว้ว่าน่ากลัวทำงานด้วยลำบาก เรื่องมาก และติสท์แตก ช่วยขู่ให้เรารู้สึกหวั่นกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ เราจะเริ่มต้นทักทายเขาอย่างไร ประเด็นคำถามที่เลือกมาจะทำให้เขายุติบทสนทนาแบบฉับพลันเมื่อไร ภาพของการพูดคุยที่น่ากลัวราวกับการทำข่าวของนักข่าวสงครามในประเทศตะวันออกกลางเริ่มลอยไปลอยมาเหนือจินตนาการของเรา จนเมื่อผ่านการพูดคุย ท่ามกลางบรรยากาศมึนตึงและระวังตัวไปไม่นาน จู่ๆ ผมก็เผลอยิ้มและเลื่อมใสในความคิดของผู้ชายน่ารักที่ชื่อ "แอนดริว ชาร์ลี เกร้กสัน" โดยลืมคำขู่ของนักข่าวสายบันเทิงผู้มองโลกด้านเดียวพวกนั้นไปเสียได้

หายจากงานเบื้องหน้าไปนานเลย ไปไหนมา?
ก็ไม่ได้ไปไหนนะครับ ถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะระยะเวลาในการรับงานของผมส่วนใหญ่จะทิ้งช่วงนานอยู่แล้ว บางครั้งเกือบ 2 ปีก็มี แต่ครั้งนี้อาจจะนานกว่าครั้งอื่นๆ เท่านั้นเอง จริงๆ แล้วระหว่างที่พักนี่ก็มีงานติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ นะ แต่ว่าหลายอย่างมันยังไม่ลงตัวก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำ เป็นไปได้ว่างานครั้งล่าสุดผมมีโอกาสได้ทำละครด้วยตัวเองมันก็เลยเหนื่อยมากขึ้น การหยุดพักครั้งนี้ก็เลยนานหน่อย

งานเบื้องหน้าของคุณเหมือนจะหยุดลงในปี 2549 กับละครเรื่องสะดุดรัก? แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?
ก็หาเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ปรกติเครียดๆ กับงาน ถึงไม่ได้ถ่ายทุวันแต่วันที่ไม่ได้ถ่าย ผมก้ยังรุ้สึกว่ายังต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่หลังจากที่หยุดไป ผมก็ได้ไปใช้ชีวิต ได้พักผ่อน ได้ไปเที่ยว ได้ไปเจอครอบครัวที่ไม่ค่อยได้เจอกัน ก็รู้สึกดีนะ แต่ยังมีคิดเรื่องงานในสมองเยอะแยะมาก จนได้มีโอกาสทำอีกเรื่องในช่วงนี้นี่แหละ

แล้วทำไมถึงเป็นช่วงนี้?
อืม ที่จริงตอนแรกผมก็กะว่าต้องรอเวลา เพราะละครเรื่องนี้มันมีรูปแบบเหมือนรายการทีวี ผมเลยต้องขายโฆษณาเองด้วย แล้วมันก็ไม่ใช่ว่าขอปุ๊บได้ปั๊บ เวลาออกอากาศมันมีเท่าเดิม แต่คนทำละครมีเยอะมาก ผู้สนับสนุนเขาก็ต้องดุว่าเรื่องไหนที่เหมาะกับเขา เราก็รอเวลาไปเรื่อยๆ จนมันได้ช่วงนี้พอดี แล้วที่กลับมาก็กะว่ากลับมาแล้วจะเริ่มทำงานเลย พอดีกับที่บัวชมพู ฟอร์ด แต่งงานพอดี กลายเป้นว่าตอนนั้นที่เราไปร่วมงานแต่งงานของบัว กลายเป้นการเปิดตัวเราอย่างเป้นทางการครั้งแรก จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นช่วงนี้หรอกครับ แต่ปฏิเสธเขาไม่ได้ (หัวเราะ)

ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดและนักแสดงชอบอะไรมากกว่ากัน?
ผมรู้สึกว่าแต่ละงานมันเกี่ยวเนื่องกันนะ มันสัมพันธ์กันไม่ว่าจะเป้นงานเขียนบท งานกำกับการแสดง หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราให้เวลากับมันและได้ลงไปในเนื้องานลึกมากพอ เราก็จะได้เกี่ยวข้องกับส่วนอื่นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยความรับผิดชอบแล้ว นักแสดงก็ไม่ต้องปวดหัวมาก ไม่ต้องอะไรกับใคร คุณทำหน้าที่ในบทบาทของคุณให้สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง แต่พอมาทำงานเป็นผู้จัด ต้องทำงานกับคนเยอะๆ ยังไงก็ปวดหัวเป้นเรื่องปรกติ แล้วเมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยอะไรกับใคร พอมาทำงานนี้ก็ต้องพูดคุยกับคนอื่นๆ มากขึ้น ก็ชอบทั้งคู่นะ แต่งานผู้จัดก็เป็นประสบการณ์ใหม่ ผมรุ้สึกว่าอะไรที่ไม่เคยทำ เราก็อยากจะลองทำ แล้วงานหนึ่งๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นงานสำหรับใครคนใดคนหนึ่งเสมอไป ผมว่าทุกคนทำงานทุกอย่างได้ เพียงแต่ว่าพยายามมากพอหรือเปล่า

เหมือนเป็นคนมีความสนใจเยอะอย่างนี้นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว มีอะไรที่อยากทำอีกบ้างไหม?
ไม่มีนะครับ ผมโตขึ้นมาก็เริ่มทำงานในวงการบันเทิงแล้ว ก็ไม่เคยคิดว่าจะไปทำอย่างอื่น ไม่รู้จะไปทำอะไรเหมือนกัน ก็มีบ้างท่ผมเคยไปทำออฟฟิศ ไปเเต่งบ้านอะไรแบบเนี่ย แต่ก็ไม่ได้เก่ง หรือว่าสุดยอดอะไร มันก็แค่สนุกที่ได้ทำเท่านั้นเอง และก็มีบ้างเหมือนกันนะที่เห็นเวลาคนอื่นเขาทำอะไร เราเองก็อยากทำแบบนั้นได้บ้าง เห้นเขาถ่ายรูปกันสวยๆ เราก็อยากถ่ายสวยแบบเขาบ้าง มีเพื่อนเปิดร้านอาหารก็อยากทำ แต่เอ...แล้วจะทำได้ไหม? สงสัยคงปวดหัวไม่เอาดีกว่า มันก็แค่อารมณ์สนุกชั่ววูบเท่านั้นเอง


มีคนบอกว่าคุณมีโลกส่วนตัวสูง ชอบหรือไม่ชอบตัวเองตรงจุดนี้?
ผมไม่ได้รู้สึกชอบหรือไม่ชอบนะ ผมเพียงแต่รู้สึกว่า ถ้าเป้นงานแสดง ผมก็ต้องใช้สมาธิกับบทเยอะ มันมีความจำเป็นที่ต้องอยู่กับบท อยู่กับตัวเอง สำหรับบางคนมันอาจเป็นเรื่องง่าย เหมือนแค่การก้าวเดินข้ามเส้นบ่างๆ แต่สำหรับบางคนเดินยังไงมันก็ไม่ข้ามสักที มันอยู่ที่ตัวเองพร้อมหรือไม่พร้อมด้วย ถ้าเราพร้อมเมื่อไรเราก็ทำได้ ในมุมมองของผม ผมก็แค่อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในมุมมองของคนอื่น บางครั้งเวลาผมเจอคนที่ชอบ ผมก็คาดหวังนะว่าจะได้รับความเป็นกันเองจากเขา ผมก็เข้าใจนะ แต่ว่าสำหรับผม ถ้าอยู่ในเวลางาน ผมก็ต้องทุ่มสมาธิให้เรื่องงานก่อน แค่นั้นเองครับ แต่นอกเวลางาน ผมก็ปรกติ ไม่ได้มีอะไร

โลกกำลังเกิดวิกฤตหลายเรื่อง วงการบันเทิงหรือศิลปะการแสดงจะช่วยโลกใบนี้ได้บ้างไหม?
ถ้าสังเกตบางครั้ง ประเทศที่เขาเจริญทางวัตถุแล้ว ทางวัฒนธรรมเขาก็จะเจริญไปด้วย แต่บางครั้งถ้าเรามองศิลปะว่าต้องเป็นเพียงแค่ศิลปะ แค่รูปเขียน รูปปั้นอะไรแบบนี้ เราก็จะจำกัดอยู่แค่นั้น ผมว่าศิลปะมันไม่ใช่อะไรแค่นั้น บางครั้งคนเราก็ใช้ชีวิตแบบมีศิลปะ ผมว่าศิลปะอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง บางทีมันก็เป็นการสะท้อนจิตใจคนออกมาเป็นงานทั่วๆ ไป อย่างภาพยนตร์ ละคร หรือดนตรี สำหรับผม ผมคิดว่าช่วยได้นะ ช่วยให้โลกดีขึ้นได้แน่นอน แต่จะดีขึ้นในแง่ไหนล่ะ ในแง่จริยธรรม บางประเทศที่เขาเจริญทางด้านวัตถุ ส่วนใหญ่ก็จะมาพร้อมกับความเสื่อม จริยธรรมก็มักจะตกต่ำลง ผมไม่ได้ว่าใครนะ แต่ผมว่าในบางประเทศที่เจริญมากๆ หรือเริ่มจะเจริญขึ้นมา คนที่เรียนสูงๆ ส่วนใหญ่กลับเหยียดคนที่เรียนต่ำกว่า ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ผมไม่ได้เรียนสูง บางครั้งผมก็ถูกเหยียด แต่ผมว่าคนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งเรียนสูง ควรจะต้องเข้าใจคนที่ไม่ได้เรียนเท่ากับตัวเอง แล้วควรจะปรับทุกอย่างให้ไปด้วยกันได้ เดี๋ยวนี้เราทุกคนถูกสอนให้มีทัศนคติแค่ว่า โตขึ้นมาจะเรียนอะไรดีเพื่อให้ได้เงินเยอะสุด เห็นตัวอย่างในบ้านเมืองเราใครทำเรื่องดีๆ แต่ไม่ได้เงิน เขาคนนั้นก็ถูกมองว่าเป็นคนโง่ ผมว่ามันถูกปลูกฝังมาผิดวิธี สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ลงเหวกันหมดแหละ (หัวเราะ)

มุมมองแบบนี้ถูกสอดแทรกในละครเรื่องใหม่ด้วย?
ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะ ผมไม่ใช่คนเขียนบทแต่ก็ได้พูดคุยกับคนเขียนบทอยู่ตลอด เพราะทั้งหมดมันเริ่มจากตัวผม เรื่องนี้มันเป็นละครที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของรายการเกมโชว์ มีพิธีกรชายเป้นตัวแทนของผุ้ชาย พิธีกรหญิงเป้นตัวแทนของผู้หญิง แขกรับเชิญที่มาก็จะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นคนรัก เป็นเพื่อน เป็นพ่อลูก ที่พออยู่ด้วยกันทุกวัน มันก็เริ่มจะมองข้ามสิ่งดีๆ ของฝ่ายตรงข้ามไป กลายเป็นไม่พูดกัน โกรธกันด้วยเรื่องงี่เง่าเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องผมอยากให้คนดูได้เห็นมุมมองเรื่องของอีโก้ หรือเรื่องของเส้นผมบังภูเขา บางทีแค่เรายอมนั่งคุยกัน ตัดอีโก้ทุกอย่างทิ้งไปแล้วขอโทษกันดีๆ ก็จบแล้วอ่ะ แต่ว่าพูดกันไม่ได้ มันเสียฟอร์ม แก่นของเรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เอง

ดูคล้ายๆ กับเหตุการณ์บ้านเมืองของเรา ตั้งใจสะท้อนไปถึงการเมืองเลยหรือเปล่า?
ไม่ได้ตั้งใจให้มันสะท้อนขนาดนั้นนะ มันเป้นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนรักกันมากกว่า มันยังคงเป็นละครที่ใช้ความรักนำเรื่อง แต่ถ้าจะให้โยง ผมก็ว่ามันก็โยงได้นะ ผมคิดว่าบางทีปัญหาใหญ่ๆ มันก็เป้นเรื่องของอีโก้นี่แหละ

คนไทยหัวสมัยใหม่มักมองว่าวงการบันเทิง เช่น ละคร ภาพยนตร์ หรือดนตรี ของบ้านเราตามหลังประเทศพัฒนาแล้วกว่า 100 ปี คุณคิดเห้นอย่างไรกับคำกล่าวหานี้?
ถ้าจะให้เขาเป็นต้นแบบ เขาก้เป้นต้นแบบแน่นอนอยู่แล้ว แต่วัฒนธรรมของแต่ละประเทศมันไม่เหมือนกันนะ ถ้าจะให้ไปเทียบกันโดยใช้วัฒนธรรมของเราเป้นหลัก เขาอาจจะตามหลังเราอยู่เกือบ 1,000 ปีก็ได้ (หัวเราะ) ใช่ป่ะ ให้เขามารำลิเก มาร้องรำตัดแบบของเราได้หรือเปล่า เขาก็คงทำไม่ได้ แต่ถ้าให้เขาเป้นหลัก เราก็ต้องตามเขาอ่ะ ผมว่าหลายๆ ประเทศทันกันหมดนะ ทุกวันนี้ Hollywood ก็พยายามจะเข้ามาเอามุมมองของคนเอเชียไปทำหนัง เพราะเรื่องของเขาก็เริ่มตันแล้ว ผมคิดว่าทุกวันนี้ มันไม่ได้มีใครเหนือกว่าใครแล้ว มันเหนือกว่าที่เงินและรสนิยมบางอย่างเท่านั้นเอง แล้วผมก็คิดว่าคนไทยเราเก่งด้วยนะ เพราะทั้งๆ ที่งบประมาณเราไม่มากเท่าเขา แต่เราก็ยังทำกันได้ขนาดทุกวันนี้

อีก 50 ปีข้างหน้า วงการบันเทิงในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?
ไม่รู้นะ ในอนาคตเราอาจจะไม่มีทีวีดูกันแล้วก็ได้ เราอาจจะต้องตามหาพลังงานใหม่ๆ ใช้ชีวิตอีกรุปแบบหนึ่ง สื่อมวลชนก็อาจจะเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่สำหรับเมืองไทยผมคิดว่า ถ้ายังมีละคร มี ภาพยนตร์ ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ หรอก เพราะในวัฒนธรรมของเรา เรามีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เช่น การพูดถึงบางองกรค์บางสถาบันไม่ได้มากนัก บางทีแค่แต่งเครื่องแบบเหมือนเขา เจ้าของอาชีพก็อาจจะ เฮ้ย! คุณมาทำให้คนในอาชีพผมดูงี่เง่า ดูตลกไม่ได้ อย่างเมืองนอกเขาพูดถึงตำรวจได้ พูดถึงประธานาธิบดีได้ พูดถึงอะไรก็ได้เยอะแยะไปหมด ซึ่งก็ไม่ได้ทั้งหมดนะ เพราะเขาก็มีข้อจำกัดของเขาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ของเรานี่สิ มันมีข้อจำกัดเยอะกว่า ทางเลือกมันน้อยมาก เหมือนผมบางครั้งก็คิด ว่าสิ่งที่เรานำเสนอมันใหม่ดี มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะพูดถึง แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก้ทำไม่ได้ บางอย่างมันแตะต้องไม่ได้




แล้วมีทางออกไหม?
โห ไม่รู้พูดไปจะเข้าตัวเองหรือเปล่า? (หัวเราะ) ขอออกตัวก่อนเลยนะว่า สำหรับใจผมแล้ว ผมรักสถาบันกษัตริย์มาก ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่ง และไม่เคยคิดจะไปแตะต้องอยู่แล้ว แต่สำหรับระบบอื่นๆ ที่มันเป็นเรื่องจริงในชีวิตเนี่ย ผมว่ามันควรจะพูดถึงได้บ้าง เราไม่ได้เอาใครมาว่า แต่บางอย่างเราก็เห็นอยู่แล้วตามข่าว ตามท้องถนน ตามชีวิตประจำวัน เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าอะไรใครทำ อะไรเป็นยังไง บางอย่างเราอยากเป้นกระจกสะท้อนสิ่งที่เราเห็นผ่านละคร หรือภาพยนตร์ แต่เราก็ทำไม่ได้ ผมว่าสิ่งนี้แหละที่เราตามหลังประเทศพัฒนาแล้ว มันคงต้องใช้เวลา เมื่อก่อนมันยิ่งกว่านี้อีกนะ ทุกวันนี้คนเราก็เริ่มเปิดรับมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ ก็คงต้องให้เวลาต่อไปอีกเรื่อยๆ

เคยได้ยินไหมว่าโลกเราจะล่มสลายในปี 2012 อีกแค่ 3 ปีเองนะ ถ้าเป็นจริงขึ้นมา คุณมีแผนอะไรในชีวิตไหม?

ผมไม่ได้กังวลอะไรนะ อาจจะรู้สึกแค่ว่าทำไมคนเราต้องมาทำดี มาช่วยเหลือโลกกันตอนนี้ ทำชั่วมาทั้งชีวิตแล้ว (หัวเราะ) จริงๆ แล้ววิธีแก้ไขมันไม่ยากหรอก แต่วิธีการมันไปกระทบอะไรหลายๆ อย่าง เอาง่ายๆ อย่าขับรถสิ เปลี่ยนระบบขนส่งสิ พลังงานแสงอาทิตย์มีเยอะแยะ แต่อาจเป้นของฟรี ไม่มีใครได้ส่วนแบ่งก็เลยไม่นำมาใช้จริงจังหรือเปล่า ไม่รุ้นะ ผมคิดว่าเราทำได้แต่ไม่ยอมทำกัน เพราะมันกระเทือนกับรายได้ของบางภาคส่วน ก็มันเรื่องเงินนี่นะ เก็บกันไว้เยอะๆ สุดท้ายก็เอาไปไม่ได้สักคน

คุณกลัวอะไรเกี่ยวกับอนาคตบ้าง?
ผมเป็นคริสเตียนเลยไม่ค่อยกังวลใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตมากนัก เพราะรู้สึกว่ายังไงพระเจ้าก็จะคอยนำทางเรา ผมไม่ค่อยกลัวอด ยังไม่มีอะไรต้องห่วงเพราะผมยังไม่มีครอบครัว ผมไม่มีภาระ มีแค่หมา แมว และปลาที่เลี้ยงไว้เท่านั้นเอง จริงอยู่ที่ผมมีลูกน้องที่บริษัท แต่ถ้าพอถึงเวลาแล้วผมอยู่ไม่ได้ เขาก็อยู่กับผมไม่ได้ เขาก็ต้องเข้าใจนะ สิ่งที่เราทำได้ก็คือทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ถ้าเราทำได้ดีที่สุดแล้วมันยังไม่ดีพอ เราก็ต้องยอมรับสภาพไป แค่ให้สบายใจ ทำในสิ่งที่ควรทำให้เต็มที่ที่สุด เท่าที่เราจะทำได้

It's undeniable that the news on the newspaper in Thailand effects much of our emotion though there aren't enough raw information to be analyzed. Therefore, it's not surprising that Crush Magazine felt a bit paranoid when getting a chance to interview an actor/ producer that has his fame in the newspaper as annoying and unreachable.
But after having conversation with him, we found out that Andrew Charlie Gregson has something the entertainment reporters might be missing.

He has been missing from the television screen for a while since it was his unsual breaking period, but it took a bit more time this time. During his break, he found time for himself to live his life seriously while planning on his new project. Then it was the right time to produce and promote his series due to the sponsor. And it was just the time when his colleague, Buachompoo Ford, weds, so he spread the news in her wedding's day. Asking what role he prefers, an actor or a producer, his answer was that every parts of the job connected.
So he thought of its as the new experiences he encountered.
Apart from entertainment industries, he couldn't think of himself working in other field.

Some said he was always surrounded by himself, but he didn't feel like it. He just focused mainly on his role when he worked. In his resting time, he wasn't like that.

Asking about his view on arts, he commented that people could live with arts, not just looking at it. Arts helped improve people's mind. Some people with higher education might look down on the one with lesser degree and he was against this ideas. Ones should understand each other and adapted themselves in order to live harmoniously. And he was also against the ideas of doing anything, even evil, in order to get rich. He tried hard to blend in his views in his new series by projecting that if ones got rid of their ego. they could live with others peacefully.

He commented on entertainment business in Thailand that it kept going forward. He didn't consider it following others, but it's about taste and capital. In the next 50 years, in his opinion, there might not be enough electricity to generate the television, but the content of the replacing media would still be about general love due to many cultural restrictions. He would love to criticize something in the societies, but it might not happen. Still, he belived it would change gradually.

He didn't concern about the rumor that the world might not exist in the next years. He also didn't fear of the future since he belived that God would endlessly light his way.
He wasn't afraid of anything since he belived that he had done everything fully enough. If that didn't reach the target, he would easily accept it.

No comments: