Photobucket

แอนดริว งานโฆษณากาแฟ FRENCH CAFE

แอนดริวมอบเสื้อยีนส์ให้ประมูลหารายได้ช่วยเหลือช้าง งานนิทรรศการภาพถ่าย "คิดถึงปอ"

แอนดริว โฆษณากาแฟ FRENCH CAFE

Monday 31 October 2011

แอนดริว เกร้กสัน" ร่วมทำกิจกรรมสร้างความบันเทิงให้ผู้ประสบภัย
ภายในศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย มทร.สุวรรณภูมิ


เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2554 ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้รับเกียรติจาก นักแสดงหนุ่มชื่อดัง "แอนดริว เกร้กสัน" 
มาร่วมทำกิจกรรมสร้างความบันเทิงเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดให้ผู้ประสบภัย
ภายในศูนย์พักพิงฯ


Andrew Gregson participating the activities to entertain the flood victims.


On October 27, 2011 Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi honoredly welcomed a famous actor Andrew Gregson who came to participate the activities to entertain the flood victims in Flood Evacuation centers ,Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi.


























ที่มา http://www.rmutsb.ac.th/


ความเห็นจากอาสาสมัครที่ศูนย์พักพิงฯ   (จากพันทิป)

เราเป็นอาสาฯ ที่ศูนย์พักพิงที่นี่เช่นกันค่ะ แต่วันที่แอนดริวมา เราดันไม่สบายซะงั้น

อาจารย์บอกว่าแอนดริวมากเงียบๆมาก ไม่มีใครทราบมาก่อน  ว่าจะมีดารามา

เล่นเอาทั้งเจ้าหน้าที่ อาสาฯ ผู้มาพัก ปลาบปลื้มกันเป็นแถว

ไม่เรื่องมาก กันเอง แล้วก็กินง่ายอยู่ง่าย :)


จากคุณ: Vesp@   
เขียนเมื่อ: 30 ต.ค. 54 13:36:23
Comment from a volunteer  (@Pantip Webboard)

"I am a volunteer at the Flood Evacuation centers,
Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi 
center too but the day Andrew came, I was sick!!!


The teachers said he came so quietly and nobody had been informed that an actor would come
so all the staff and the volunteers were so delighted. He was not choosy. He was so friendly and easy going."

From: Vesp@   


Andrew Gregson participating the activities to entertain the flood victims at Rajamangala University of Technology Suvanabhumi.


Thursday 11 August 2011

Interview Archives : รวมบทสัมภาษณ์เก่า

ขอบคุณมือพิมพ์ : หมวดลี

แอนดริว เกร้กสัน กับชีวิตที่ไม่ค่อยเปิดเผย

//ละครเรื่องใหม่ป็นอย่างไรบ้าง?
**เรื่อง12ราศี ก็เป็นละครบู๊ครับ ได้เล่นคิวบู๊เยอะดีก็สนุกดีครับ แต่ก็มีผิดคิวเจ็บตัวบ้างเหมือนกันนะครับ เพราะว่าพี่อ๊อฟเองเขาจะคิดอะไรแปลกๆเยอะก็เลยไม่แปลกที่จะผิดคิวบ้าง


//เจ็บตัวจริงๆเลยสิ?
**ใช่ครับ เพราะว่าคิวบู๊เองผมก็ไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียนมา ก็แค่ซ้อมกันก่อนถ่ายแล้วก็ถ่ายเลย มันก็มีบ้างที่ต้องโดน อย่างฉากกระโดดข้ามรถอะไรพวกนี้มันก็เสี่ยงอยู่แล้ว


//ทำไมไม่ใช้แสตนด์อิน ล่ะ?
**จริงๆก็ควรใช้นะครับ แต่ก่อนเล่นพี่ออฟก็จะถามว่าเล่นได้ไหม ถ้าทำไม่ได้เขาก็จะหาแสตนด์อินให้ เพื่อความปลอดภัย แต่ผมนี่แหละอยากเล่นเอง เพราะมันดูสมจริงสมจังมากกว่า


//คาแรคเตอร์ในเรื่องนี้เป็นไงยังไงบ้าง
**ในเรื่องนี้ผมรับบทเป็นเจ๋งครับ เป็นตำรวจ ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ผมรับบทตำรวจ แต่ว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบนะครับ


//หนักใจมั๊ยกับบทนี้
**ก็ไม่ได้หนักใจอะไรมากครับ เพราะว่ามีอะไรผมก็คุยกับพี่อ๊อฟก่อนอยู่เสมอ ซึ่งพี่เค้าก็จะบอกผมว่าอย่ากังวล เขาไม่ซีเรียสกับการที่เราเป็นตำรวจมากหรอก เขาก็ไม่อยากให้เรากังวล เขาอยากให้เล่นสบายๆมากกว่า เพราะว่าละครมันเป็นคอมมาดี้แอคชั่น ยังไงมันก็มีความเป็นคอมมาดี้อยู่ไม่ได้เน้นที่ความเป็นเรียลลิตี้หรือว่าเป็นดราม่ามากมายนัก


//ความน่าสนใจของละครเรื่องนี้อยู่ตรงไหน
**ผมชอบตรงที่มันมีฉายา รู้สึกแปลกๆ ดีที่ตั้งฉายาว่า ไอ้หมาบ้า หรืออย่างตัวนางเอกเองเขาก็มีฉายาเหมือนกันของเขาจะถูกเรียกว่า นางฟ้า ผมว่ามันเป็นละครที่แปลกน่าติดตามดูนะ


//ทำไมถึงได้รับฉายาว่า ไอ้หมาบ้า ละ**ก็ตัวละครตัวนี้มันจะบ้าๆมุทะลุครับ แล้วก็ไม่ยอมรับนางเอกเป็นคู่หูด้วยซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่รับ ทำไมมาดูถูกกัน หยิ่งหรือว่าอะไร แต่จริงๆแล้วมันมีเหตุผลเพราะคู่หูเก่ามันตาย มันก็กลัวว่าถ้ามีมาอีกคนเดี๋ยวจะตายอีก แต่มันก็ไม่ได้บอกใคร


//ในเรื่องก็ค่อนจะเป็นคนปิดตัวเองเหมือนกัน
**จริงๆก็ไม่ได้ปิดตัวเองนะ แต่เป็นเพราะตัวละครตัวนี้เขาไม่อยากให้ใครมาตายในระหว่างหน้าที่ ที่เป็นคู่หูของเขามากกว่า คือเขารู้สึกสบายใจที่จะทำงานคนเดียว


//ต้องเตรียมตัวอะไรบ้างมั๊ย ก่อนที่จะรับบทเจ๋ง
**ก็อ่านบทแล้วพูดคุยกับพี่อ๊อฟ เรื่องบทบู๊ก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย แค่มีประสบการณ์จากที่เคยเล่นมาตามเรื่องต่างๆ บ้างเล็กน้อยที่เหลือก็มาซ้อมเอาในกองนี้แหละครับ


//ทำงานกับพี่อ๊อฟเป็นยังไงบ้าง
**ก็ปกติดีครับ เพราะพี่อ๊อฟบอกว่าให้ทำงานอย่าคิดมาก อย่าเกร็งมากมายนัก เรียกว่าทำงานกันแบบสบายๆครับ


//แอนดริว ค่อนข้างหายไปจากจอนานเหมือนกัน
**จริงๆแล้วเนี่ย ละครที่ออกอากาศมันเหมือนหายไปแต่จริงๆผมไม่ได้ว่างเลยนะ ผมไม่ได้หยุดถ่ายละครเลยนะ ถ่ายละครตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่เสร็จไม่ได้ออกอากาศก็เลยดูเหมือนผมหายไปนาน


//เรื่องการเรียนของแอนดริวเป็นยังไงบ้าง
**ยังเรียนอยู่ครับ เรียนรามคำแหงคณะรัฐศาสตร์ ยังเรียนไม่จบ ผมเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็ไม่ได้เครียดอะไรไว้เรียนจบแล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขกับการเรียนและการงานของผมอยู่ครับ


//อนาคตไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย
**ยังเลยครับ ผมยังไม่ได้วางโครงการอื่นๆเลยก็ได้แต่เรียนแล้วก็ทำงานวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น


//นอกเหนือจากเรียนและงานเวลาที่เหลือทำอะไรบ้าง?
**มีเวลาว่างก็พักครับ หรือไม่ก็ออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาแถวบ้านบ้างเพราะถ้าไม่ออกกำลังกายเลยนี่จะแย่ เดี๋ยวร่างกายไม่แข็งแรง


//นอกเหนือจาก 12 ราศี แล้วมีเรื่องอื่นอีกบ้างมั๊ย
**ตอนนี้มีอ่านๆบทอยู่ ยังไม่ได้รับอะไรแน่นอน คือผมไม่ค่อยจำกัดว่าจะต้องรับงานทีละเรื่องอยู่แล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่การเลือกงานของตัวเองเลย ตัดสินใจเองตลอด เพียงแต่บางทีเราอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ปรึกษาพี่อ๊อฟบ้างเหมือนกัน


//เคยคิดเป็นผู้กำกับฯบ้างหรือเปล่า
**อันนี้ไม่ได้คิดนะครับ ผมขอเล่นไปก่อน เรื่องกำกับเองนี่ยังอีกไกล แต่ไม่แน่ในอนาคตเราอาจจะอยากกำกับอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ


//มีบทไหนที่อยากเล่นอีกบ้างมั๊ย
**อันนี้มีเยอะมาก อย่างเวลาไปดูหนังเห็นแล้วก็อยากเล่นแบบเขา แต่ไม่ได้คิดเอาไว้หรอกนะว่าอยากเล่นบทนั้น บทนี้ มีแต่เห็นแล้วอยากเล่นตามเขาไปเรื่อยๆ


//ไม่อยากเล่นภาพยนตร์บ้างเหรอ
**จริงๆแล้วสำหรับหนังก็คุยเหมือนกันนะ แต่ว่าทุกอย่างมันยังไม่ลงตัว ถ้าเกิดว่าทุกอย่างลงตัวก็อาจมีงานให้ดูกัน


//ความรักของผู้ชายที่ชื่อแอนดริวเป็นไงบ้าง
**ก็เหมือนเดิมครับ รักที่จะทำงาน ชีวิตผมค่อนข้างเต็มไปด้วยงาน มากกว่าที่จะมามองว่าผู้หญิงคนนั้นสวยคนนี้น่ารักนะ เพราะถ้าเราจะรักใครเราต้องมีเวลาให้เขามากๆ ซึ่งเราก็รู้ว่าไม่มีเวลาแน่นอน เพราะฉะนั้นเวลาที่พอมีขออยู่กับตัวเอง อยู่กับงานแล้วก็อยู่กับเพื่อนๆก่อนดีกว่า


///นี่แหละชีวิตของหนุ่มมาดเข้มคนนี้ ผู้ที่ไม่ค่อยจะยอมเปิดปากให้สัมภาษณ์ แต่วันนี้เขาเปิดหมดใจให้เราได้ซักถามถ้าคุณไม่ใช่คนพิเศษรับรองไม่ได้บทสัมภาษณ์นี้แน่ๆ ขอบอก..//

Andrew Gregson and the life that he doesn't often reveal.

Q: What's your new lakorn like?
12 Rasee (Zodiac) is an action lakorn.  I get to be in action scenes.  It's fun, but I got hurt a few times because P' Off is very creative.

Q: Did you get hurt?
Yes.  I didn't study how to do action scenes.  We rehearse and act afterward.  So, there's a chance that I might get hurt like jumping over a car scene which is already a risky scene.

Q: Why didn't you use a stunt man?
We do.  P' Off asked me before hand.  If I couldn't do it, he would find a stunt man for safety reasons.  I am the one who asked to act myself because it would be more realistic.

Q: What's your character like?
I am Jeng, a police man.  This is the first time that I play a police role but I don't wear the uniform.

Q: Is it a tough role for you?
Not exactly.  I always talk to P' Off.  He often said, don't worry.  He is not serious about acting like a police.  He wants me to relax because it's an action comedy lakorn.  There'll be the comedy portion.  He doesn't focus on the reality or drama as much.

Q: Why is it an interesting lakorn?
A: I like the fact that Jeng has a name.  He was named mad dog.  The lead actress was named Angel.  It's a very interesting lakorn.

Q: How did Jeng get "mad dog" name?
He's hot tempered.  He doesn't accept the lead actress as the partner.  Nobody  even understands why he didn't accept her, why he looks down on her, is he arrogant?  Actually the reason is that his ex partner died and he was afraid that his new partner would die too.  That's the real reason he didn't tell anyone.

Q: You don't open up in this role.
Actually I didn't close myself but Jeng doesn't want any of his partners to die on duty.  He's happy to work by himself.

Q: How did you prepare  yourself?
I read the script and talked to P' Off.  Regarding action scenes, I didn't prepare much.  Just from experiences from the other lakorns and practicing at the set.

Q: How is it like working with P' Off?
Like normal.  P' Off said don't be too serious.  So, I am in relaxing atmosphere.

Q: You were gone from TV for a while.
It looks like I'm gone, but not really.  I haven't stopped working.  For this one, we've been working on this since last year and it's not done yet and hasn't aired so it looks like I've disappeared.

Q: How's school?
I am still studying at Ramkhamhaeng University, Political Science.  I work and study concurrently.  I've not thought about it a lot what to do after graduating.  Once I graduate, I will think about it.  Right now, I'm happy with both school and work.

Q: What's the plan?
I have no plans.  I only think about work and school and do my best for the time being.

Q: What do you do in your spare time?
I rest, or exercise, or play sports.  If I don't exercise at all, I will not be healthy.

Q: Is there any role you want to be in?
A lot.  When I watch movies, I want to be this and that.  I am not too serious about it.  I only like imagining.

Q: Do you want to be in movies?
Actually there are some talks, but nothing is certain.  Once it's more certain, you'll get to see.

Q: How is your love life?
Same.  I love working.  My life is filled with work rather than having time to look who's cute and so on.  If I think of loving anyone, I'd like to give time to that person.  Right now I know I don't have time, therefore, I'd rather be with myself and work and friends for now.


This is his life.  Normally he doesn't often open his mouth about it, but today he revealed a few things to us. 



******************************

สกู๊ป แอนคริว ….. จากหนังสือ ละครทีวี

ถือว่าเป็นนักแสดงที่มีการวางตัวดีอีกคน นายแอนดริว เกร้กสัน เพราะถ้าไม่มีงานละครแล้วล่ะก็ไม่ค่อยจะมีข่าวคราวของพ่อหนุ่มคนนี้เลย อย่างนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่องจริงๆ เพราะเท่าที่พ่อหนุ่มคนนี้เข้าวงการมาไม่ค่อยได้ยินข่าวเสียหายเลย จะว่าเขาเก็บตัวก็ไม่ใช่


//แอนดริว เป็นคนไม่ค่อยพูดนะ?
**ผมไม่ค่อยไประวังอะไรตรงนั้นมาก ไม่รู้สิ ผมเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้วก็กลัวบางคนเค้าหาว่าหยิ่ง ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง บางทีอาจจะสื่อสาร บางทีแปลความคิดมาเป็นคำพูดไม่ได้ไม่เท่าที่คิด


//เรื่องการเรียนล่ะ?
**ก็ดีที่ตอนนี้ผมเรียนที่รามคำแหงปี3 ก็พยายามเก็บให้หมดผมก็พยายามเช็คเกรดครั้งสุดท้ายที่ได้70กว่าๆ คือผมก็ลงเต็มที่ทุกเทอม ก็จะพยายามเก็บหมด เท่าที่ผ่านมาก็เก็บหมดมีซ่อมบ้างแต่ก็ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ ตอนนี้ผมเรียนรัฐศาสตร์บริหารรัฐกิจ ซัมเมอร์ไม่ได้ลง ต่อไปคิดว่าจะลงแล้ว จะได้จบเร็วๆ


//ทำงานด้วยเรียนด้วย แบ่งเวลาได้เหรอ?
**ก็ต้องแบ่งได้อยู่แล้วครับ เพราะว่าผมเรียนที่รามฯ บางทีที่ถึงเวลาถ่ายละครเนี่ยจะตรงกับช่วงสอบเรื่อย จนบางครั้งบางคนจะเห็นว่าผมงานน้อยลงไป ผมว่าขึ้นอยู่ใครจ้าง ผมไปทั้งนั้นแหละ


//ตอนนี้อายุก็สมควรจะมีแฟนแล้วนะ?
**ผมไม่เห็นว่าการไม่มีแฟนในช่วงนี้จะเป็นเรื่องเสียหาย คือมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ถึงตาย คือเราไม่ต้องดิ้นรนหาและคงเป็นเพราะว่าผมยังไม่เจอคนที่ถูกใจจริง เพราะส่วนมากเวลาไปไหนมาไหนผมก็จะไปกับเพื่อนผู้ชายซ๊ะมากกว่า


//สเป็คเป็นอย่างไร?
**ไม่ได้กำหนดเรื่องสเป็คครับ เพราะถ้าเราไปกำหนดอะไรไว้มากๆก็ไม่ดี ผมว่าคนที่เข้ามาคบถึงขั้นแฟนจะต้องเข้าใจตัวผมและเข้าใจกับงานที่ผมทำด้วย เพราะเราอยู่ตรงนี้ อันดับแรกเลยก็คงจะเป็นเรื่องของเวลา เขาจะรับตรงนี้ได้มั๊ยแค่นี้แหละ


//เรียนจบแล้วจะทำอะไร?
**ถ้าเรียนจบแล้วอยากจะแต่งงาน(หัวเราะ) ผมพูดเล่น เอาไว้ให้จบก่อนแล้วค่อยคิด ไม่อยากไปยึดติดกับอะไร คือมันเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา อย่างถ้าเราไปเจออะไรที่แปลกๆใหม่ๆ มันก็มีหนทางมากขึ้นกว่าเดิม เอาไว้เรียนจบก่อนดีกว่า แล้วค่อยดูกันอีกที ผมอาจจะไปทำไร่ (หัวเราะ)


//ช่วงนี้ดูบึกขึ้นนะ เล่นกล้ามมาหรือเปล่า?
**บึกขึ้นครับ คงไม่รู้หรอกว่าผมไปไถนามา (หัวเราะ)


//คิดอย่างไรกับเลิฟซีนที่เราต้องเล่น?
**ก่อนอื่นก็ต้องขอโทษนางเอกหรือนักแสดงที่เราแสดงด้วย เพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าเราฉวยโอกาส เพราะคนอย่างผมไม่ใช่คนประเภทที่จะคอยฉวยโอกาสอยู่แล้ว บางทีก็ใช้มุมกล้องช่วย


//การทำงานกับผู้กำกับแต่ละคน สอนอะไรมั่ง?
**ก็ไม่เชิงสอน จะเป็นเชิงออกความคิดกันมากกว่า อย่างผมออกความเห็นไปอย่างนี้ ทางผู้กำกับจะคิดอย่างไรตรงกับผมหรือเปล่าก็จะมานั่งคุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อย่างพ่ออี๊ด-สุประวัติจะให้รายละเอียดที่สร้างอารมณ์ได้ดีมาก หมายถึงผมชอบพ่ออี๊ด ชอบผู้กำกับหลายคน ซึ่งแต่ละคนจะมีแง่มุมความคิดไม่เหมือนกันเลย


//กับเรื่องมัสยา ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
**เป็นอีกแนวหนึ่งนะที่ส่วนใหญ่ละครหลายเรื่องจะมีหลายรส มีบู๊บ้าง มีบทชีวิตเล็กๆน้อยๆ มีตลกสนุกสนาน แต่เรื่องนี้จะออกไปทางอารมณ์ซะมากกว่า ถ้าถามผมว่าชอบมั๊ย ผมว่าสนุก ผมชอบ


//เกร็งมั๊ยเวลาเล่น?
**พยายามไม่เป็นตัวถ่วงคนอื่น เราทำงานให้เต็มที่เท่านั้นแหละครับ คือต้องอ่านบทให้เป็น เพราะผมว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเก่งกว่าใครหรอก เป็นเรื่องที่ว่าเราดูใครแล้วเราถูกใจมากกว่า บางทีผมเห็นการแสดงของนักแสดงคนนี้ผมชอบเพราะเค้าเล่นดีมากเลย แต่บางคนที่ไม่ชอบก็มี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเก่งใครไม่เก่ง มันอยู่ที่การตีความ และเหตุผลของการกระทำมากกว่า


//ตอนนี้อายุเท่าไหร่ บทที่รับคิดว่าโตขึ้นมั๊ย?
**อายุ21ปี ครับ แก่แล้วครับ คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงคำพูด ที่พูดกันว่าผมโชคดี แต่งให้ดูเป็นผู้ใหญ่ก็ได้ แต่งตัวให้ดูเด็กก็ได้ มีโอกาสอีกเยอะ แต่ผมว่ามันขึ้นอยู่กับคนที่ดูผมแต่งตัวด้วย ว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า ถ้าเห็นผมแต่งชุดทหารก็อาจจะมองผมเป็นผู้ใหญ่ หรือถ้าเห็นผมใส่ชุดนักเรียน ม.4 ก็จะมองผมเป็นเด็ก ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล ที่เขามองมาที่ตัวผมด้วย


//แล้วเรื่องมัสยา ทำอย่างไรให้คนดูเขาเชื่อว่าเราเป็นทหาร?
**ทหารก็คือทหาร ทหารก็เป็นคน แล้วก็มีอุปนิสัยของเขา เราก็เป็นอุปนิสัยแบบเขาแบบตัวละคร แล้วก็มีความเป็นทหารบ้างจากการที่ผมไปคลุกคลีกับเขา


//ไปสัมผัสกับทหารตัวจริงเหรอ?
**ครับ เพราะผมต้องไปฝึกขี่ม้า เพราะในเรื่องมัสยา ผมต้องเป็นทหารม้า รู้เรื่องม้าบ้าง ผมก็เลยไปอยู่กับพวกทหาร แล้วทางพี่ตุ๋ย-มนฤดี เขาก็ช่วยเยอะเลย เขาติดต่ออะไรต่อมิอะไรให้ แล้วให้ผมไปฝึกยิงปืน มันเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ต้องเอามาประมวลให้เข้ากับตัวละครในเรื่อง


//ตอนนี้มีละครติดต่อมาอีกหรือเปล่า?
**ก็มีครับ กำลังดูๆอยู่ แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นผู้จัดรายไหน รอให้มันแน่นอนก่อนดีกว่า ถ้าเกิดผมว่าเป็นผู้จัดรายนี้นะ แต่ไม่ใช่ผมก็หน้าแตกสิ


//อยากให้ฝากผลงาน?
**ครับ ก็อยากให้ติดตามผลงานละครของผมต่อไปนะครับ จริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร ก็อยากให้ดูกันที่ผลงานมากกว่านะครับ


///////แหม เป็นผู้ชายที่พูดน้อยซะจริงๆ สำหรับหนุ่มคนนี้ แต่ถ้าใครเป็นแฟนละครของนายแอนดริวแล้วล่ะก็ไม่ควรพลาดชมผลงานชิ้นต่อไปของเค้านะ/////////

Scoop about Andrew..From Lakorn TV Magazine.

Andrew Gregson is one of the lead actors who have been behaving all his career.  That's because if he doesn't have lakorn, you wouldn't hear about him at all.  It's very impressive.  Since he's been in this business, we've never heard of any rumors about him.  It's not like he closes his door either.

Q: You are not talkative?
A: I didn't notice.  I don't know.  I am not talkative to begin with and am afraid that people will think I'm arrogant.  I don't know how to explain this.  Sometimes, verbal communication cannot convey the whole thought.

Q: Your school?
I'm in third year at Ramkhamhaeng University.  I've been trying to gather up all credits.  Lately that I checked, I'm in 70 percentile.  I usually register for full credits every semester.  So far, there were some fails, but it wasn't bad.  I am studying Political Science - Government.  I haven't registered for the summer session.  But I'm thinking maybe I should so I can graduate sooner.

Q: Working and studying at the same time, how do you manage?
I manage because it's Ramkhamheang.  Sometimes, work hours do coincide with examination times.  People might think I work less.  It depends on what I'm hired to do at the time.

Q: Based on your age, you should have a girlfriend by now.
I don't understand why not having a girlfriend is a big deal.  It's not a life and death situation.  I don't think we need to seek or search, maybe it's because I haven't met the one.  I usually go out with boyfriends.

Q: What's your specification like?
I don't have that defined.  If we defined, it becomes too confined.  I think whoever is going to be my girlfriend will have to understand me, my work.    Where I am, time is the important factor.  Whether it's acceptable to her .

Q: What do you want to do after graduating?
Getting married (laughing).  I'm kidding.  Once I graduate, I will think.  I don't want to be too attached to it.  Things change all the time.  We might run into something that would open up to more or better opportunity.  I'll wait until I actually graduate, I will see what to do.  I might become a farmer (laughing).

Q: You are more beefy these days, do you lift weight?
I'm more beefy.  Don't you know I have been plowing the rice fields (laughing)

Q: What do you think about the love scenes?
First I say sorry to the lead actress whom I play with.  I don't want them to think I'm taking advantage of them.  I'm not that kind of person.  Sometimes, we use the camera angle to accomplish it.

Q: What does working with different directors give you?
It's more like debating.  I think one way, the directors think another way.  We exchange ideas.  Father Eed - Suprawat gives the detailed explanation in emotional scenes so well.  I like father Eed.  I like many directors.  Different directors do have different ways of thinking.

Q: Mussaya, how was it?
A: It's different.  Most lakorns have different styles in one: some action, some drama, some comedy, but this one is mostly drama.  Do I like it? It was fun.  I like it.

Q: Were you serious when you act?
I try not to be a bottleneck.  I try to do my best by reading the scripts.  Nobody is better than anyone else.  It's personal preference.  Who we like or don't like.  For example, I like this actor, but others don't.  It's not the talent.  It's how we interpret the role and reasoning around the role.

Q: How old are you? Are you older professionally?
A: 21 years old.  I'm old.  This question made me think how lucky I am.  I can dress like an adult or a teenager.  There are more roles to be played.  It really is up to how we dress.  Whether we can make people believe in the role.  If you see I put on the navy uniform, you might think I look like an adult.  You might think I'm in high school if you see me in a student uniform.  It's really how people perceive.

Q: In Mussaya, how do you make people think you are a soldier?
A solder is a soldier.  A soldier is also a human being and have their own personality.  I turn myself to have the personality like that person and then combine some soldier-attitude that I learned from being with soldiers?

Q: With real soldiers?
Yes.  I had to learn horseback riding.  In Mussaya, he's a horse back soldier.  I need to know about horses so I mingled with soldiers.  P' Tui- Monruedee, helps me out  a lot.  She set it up for me.  I was trained on shooting.  It's a combination of the few details that will be incorporated in acting in this role.

Q: Any other lakorn?
There are, but it's not certain which production and so on.  I will wait for it to be certain first.  If it falls apart, I won't lose face.

Q: What do you want to say to the audience?
I'd like you to keep watching my work.  I am not talkative, but I'd like you to focus on my work rather than me.

He's not talkative for sure.  If you are his real fan, you should not miss any of his work.

********************************


แอนดริว หยิ่ง...อยู่กองไหนไม่เคยคุยกับใคร

เจอะหน้าค่าตาหนุ่มแอนดริว ในกองลูกไม้ไกลต้น ของค่ายดารา วิดิโอ ก็เลยได้โอกาสถามถึง ข่าวลือที่หลายๆคน เค้ามักจะพูดกันเสมอว่า แอนดริว หยิ่ง เพราะไม่ค่อยพูดคุยกับใครในกองถ่าย แม้กระทั่งนักแสดงที่เล่นด้วยกันก็มีน้อยคนนักที่แอนดริวจะพูดด้วย ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ต้องไปหาคำตอบจากปากของเจ้าตัวเค้าแล้วล่ะ

//หลังจากไม้เมืองก็หายหน้าไปเลยนะ
**ก็มีละครเรื่องลูกไม้ไกลต้น จะเป็นละครชีวิตเหมือนเดิม ไม่ใช่แนวถนัดอะไร ก็ปกติ เรื่องนี้จะเป็นพี่ชายรักน้อง แม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก น้องก็เลยมีปมด้อย ตัวเองก็มีด้วยแหละ ก็เลยห่วงน้อง มองผู้หญิงเหมือนแม่ไปหมดว่าไม่ดี มองผู้หญิงไม่ดี เป็นคนที่มองโลก อีกมุมหนึ่ง

//มีเรื่องอื่นติดต่อเข้ามาอีกหรือเปล่า??
**ก็มีมาเรื่อยๆแหละ แต่มันยังไม่แน่นอน ผมก็ไม่อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะจริงๆก่อนเปิดกล้องอะไรๆมันก็เปลี่ยนแปลงกันได้ เรื่องไหนๆก็เหมือนกันจะเป็นเหมือนกันทุกเรื่อง คือมันยังอยู่ในขั้นตอนการพูดคุยถึงเวลาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ก็เลยไม่อยากจะบอก

//รับงานค่อนข้างน้อย นะ
**ก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ก็ยังงี้แหละ อยากจบเร็วๆ ตอนนี้ก็เรียนอยู่ปี 3 จะขึ้นปี3เทอมหน้า ผมเรียนรัฐศาสตร์

//มีเงื่อนไขในการรับงานยังไง
**ผมไม่มีเงื่อนไขอะไรหรอก ผมอ่านแล้วให้คำตอบได้ ก็ให้ ถ้าให้คำตอบไม่ได้ก็เฮ้ยพี่แค่นี้ผมให้คำตอบไม่ได้หรอก มีอะไรให้ผมเพิ่มหรือเปล่า ก็แค่นั้นแหละ

//ดูจากบทเป็นหลักว่างั้นเถอะ
**ก็ไม่รู้เหมือนกัน เริ่มแรกเค้าอาจจะมีเรื่องย่อมาให้ ก็ดูว่าเราจะให้คำตอบได้หรือเปล่า ก็เหมือนมีคนมาจ้างพี่ทำงาน แล้วเอากระดาษให้พี่แผ่นหนึ่ง พี่ทำได้ไหม มันยังไม่ละเอียดพอ ก็จะขอดูว่ามีรายละเอีญดมากกว่านี้หรือเปล่า ก็ขอเขาเพิ่ม พูดคุยกันมากกว่า ผมจะมีแค่นี้ ถ้าอ่านแล้วไม่มั่นใจผมก็จะบอกว่าพี่ผมไม่มั่นใจตรงนี้ยังไงๆ ก็ต้องคุยกันเป็นเรื่องธรรมดา

//มีคนบอกว่าแอนดริว รับงานแปลกๆ
**มันอยู่ที่การพูดคุยกันมากกว่า ก็เหมือนกับการสร้างละครเรื่องหนึ่งก็เหมือนกัน (หัวเราะ) ผมไม่เลือกว่าจะเป็นทีมงานไหน ขึ้นอยู่ที่เรื่องนี้น่าสนใจไหม เราเล่นได้ไหม เรามีปัญญาเล่นไหม เรื่องไหนมา เล่นได้ผมก็เล่น

//ปรึกษา ใคร บ้าง
**ก็ปรึกษากับคนที่เค้าติดต่อมา เค้าจะเป็นคนที่เห็นภาพว่า เค้าจะทำออกมายังไง เราก็ต้องคุยติดต่อกับคนที่เค้าติดต่อมา ผมจะตัดสินใจเอง มาพักใหญ่ๆแล้ว ส่วนใหญ่ก็ตัดสินใจเองมาตลอด แต่เมื่อก่อนก็จะมีพวกพี่เค้าคอยให้คำปรึกษา พอโตขึ้น ก็ต้องดูแลตัวเองบ้าง

//แล้วเวลาทำงานนี่มีปัญหาไหม เพราะได้ข่าวว่าไม่ค่อยจะคุยกับใคร
**เวลาทำงานผมก็จะไม่ค่อยคุยกับใครอยู่แล้ว มาทำงานก็คือมาทำงาน สนใจบทมากกว่าแล้วก้ไม่รู้จะพูดอะไรด้วย ไม่มีเรื่องจะพูด

//ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า
**มันก็เป็นกันทุกคน เวลาที่คุยกับคนแปลกหน้า ก็จะไม่ค่อยคุย แต่อาชีพพี่อาจจะต้องคุย ส่วนผมถ้าตอบได้ก็ตอบ

//เหมือนว่าเราระวังตัวหรือเปล่า
**เปล่าไม่ได้ระวังตัวอะไร ผมมาทำงานก็อยากทำงานก็พยายามอยู่กับบทให้มากที่สุด ผมก็พยายามทำงานให้คุ้มกับค่าเงินที่เค้าจ้างมา ทำงานให้เต็มที่

//แต่คนเรามันก็ต้องมีการพักผ่อนคลายเครียดกันบ้าง
**มันก็ต้องมี พักผ่อนกันบ้าง เวลาเล่นละคร แต่จะให้ดี มันก็ควรที่จะอยู่กับบทกับงานที่เราทำมากกว่าอย่างอื่น ผมก็ไม่ค่อยพูดกับใคร ไม่รู้จะพูดอะไรด้วย

//กับคนที่สนิทๆ ล่ะ
**ก็จะคุยบ้างเป็นเรื่องๆไป ผมก็เป็นของผมอย่างนี้อยู่แล้ว

//ก็แลยมีคนมองว่าเราหยิ่ง
**ช่วยไม่ได้ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็ไม่รู้ว่าคนจะมองว่าผมหยิ่งหรือเปล่า แต่ผมคิดว่ามันก็ต้องมีบ้าง เพราะผมเป็นอย่างนี้ จะไม่ค่อยคุยกับใคร เค้าก็ต้องคิดว่าเอ๊ะ ไอ้นี่หยิ่งหรือเปล่า มันก็ต้องมีบ้างแหละ ก็ช่วยไม่ได้แล้วแต่จะคิดกัน

//แอนดริวไม่แคร์ไม่กลัวคนคิดว่าเราหยิ่ง
**กลัวทำไมผมไม่ได้ทำผิดอะไร

//ก็คงหายสงสัยกันแล้วว่า ทำไมนายแอนดริวเค้าถึงไม่ค่อยพูดคุยกับคนอื่น นั่นก็เป็นเพราะว่าเค้าทุ่มเท และตั้งใจให้กับงานอย่างเต็มที่จนไม่อยากจะพูดคุยกับใคร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ที่นักแสดงคนหนึ่งจะตั้งใจทำงานเพื่อให้ผลงานออกมาดีถูกใจคนดู แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่คนเราจะมีอัธยาศัยที่ดีกับคนรอบข้าง หรือว่าไงจ๊ะ นายแอนดริว

Andrew is arrogant...never talk to anybody.
We met Andrew at Luk Mai Glai Ton, by Dara Video Production, so we got a chance to ask about what people said about him being arrogant.  He rarely talks to anybody at the set even his costars.  What is the truth?  Let's find out from him.
Q: Since Mai Muang, you had disappeared?
I have Luk Mai Glai Ton right now.  It's a similar drama.  It's not the style I'm good at or anything like that.  It's another drama.  This one is about a brother who loves his younger brother very much.  Their mother left them since they were very young.  His younger brother has an issue with the mom abandoning them.  He has an issue with it too.  So, he is worried about his brother. He views every woman like his mother who is not bad.   He has a different point of view.
Q: Is there any other one?
There are some, but not set stone.  I don't want to tell you yet what they will be.  Before actual shooting, things could change.  Regardless of what it is, there's a process.  There's a discussion stage and things could change up until the last minute.
Q: You don't take on many jobs.
A: I'm in school.  I would like to finish school very soon.  Right now, I'm in third year.  I'm studying political science.
Q: What are your criteria for accepting a job?
A: I don't have specifics.  I read (the scripts) and I will be able to answer you.  If I can't answer, it's because I don't have enough information.  That's all.
Q: So, you look at the scripts primarily?
A: I don't know.  Initially they might give me a synopsis and see if I could give them the answer.   It's like someone wants to hire you and give you a piece of paper, would you be able to do it? It's not detailed enough, so I often ask if there's more detailed version of the scripts.  I ask for more and we talk.  If I read and run into some questions, I would ask.  That's a normal process.
Q: Some people said you have a very strange way of accepting jobs.
A: I think it depends on the talk.  It's like producing a lakorn (laughing).  I don't choose what production team I'd work with.  It depends on whether the story is interesting , whether I can perform the job.  It doesn't matter what, If I can perform, I will.
Q: Do you consult anybody?
A: I consult the person who contact me.  They will be able to tell me what vision they have.   I have made my own decisions for a while now.  In the past, I had consulted senior people.  Once I grew up, I should take care of myself.
Q: Do you run into problems since I heard you don't talk to anybody?
A: I don't usually talk.  I come to work to perform.  I'm more interested in the script than talking.  There's nothing to talk about.
Q: You don't like talking to strangers?
A: I think that's true to anybody.  When we talk to strangers, we wouldn't be as talkative.  For your job, you might have to talk.  For me, if I can, I will talk.
Q: Are you being cautious?
A: Not really.  I come to work and want to be with the script and the role as much as possible.  I'm trying to work and fulfill my obligation.
Q: But people need to relax at times.
A: That's true.  I do rest.  While at the set, I'm with the script and work.  I don't usually talk.  I don't know what to talk about.
Q: How about with closed friends?
A: I would talk if I do have something to talk.  I'm just like this.
Q: People view you as arrogant.
A: That's really too bad.  I don't know what to do.  I don't know what people think.  But I guess that's to be expected since that's how I behave.  Unfortunately, it's up to the people what they want to think.
Q: You don't care what people think?
A: I don't because I didn't do anything wrong.
// Now we know why he doesn't talk.  That's because he's dedicates to his work.  That's a good thing that an actor should do.  But it's not such a bad thing to deploy interpersonal skills to the people around you, is it Andrew?

Thursday 4 August 2011

Andrew@ Crush Magazine March 2009



DON'T WORRY IF ART MAKES YOU LAUGH

ข่าวสารตามหน้านังสือพิมพ์ ทั้งหลายของประเทศไทย (ทั้งที่ย่อยสลายได้หรือย่อยสลายไม่ได้) มักขู่ให้เรารู้สึกหวาดกลัวในเรื่องราวต่างๆ ได้เยี่ยมยอด ในขณะที่มีเนื้อหาหรือขู้มูลดิบไว้ให้เราใช้วิเคราะห์เพียงน้อยนิด ตั้งแต่ปัญหาภาวะโลกร้อน ปัญหา 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไล่ไปจนถึงปัญหาอาชญากรรมและเศรษฐกิจ

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในครั้งนี้ การได้มาสัมภาษณ์พระเอก/ ผู้จัดหนุ่ม ที่สื่อมักขู่ไว้ว่าน่ากลัวทำงานด้วยลำบาก เรื่องมาก และติสท์แตก ช่วยขู่ให้เรารู้สึกหวั่นกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ เราจะเริ่มต้นทักทายเขาอย่างไร ประเด็นคำถามที่เลือกมาจะทำให้เขายุติบทสนทนาแบบฉับพลันเมื่อไร ภาพของการพูดคุยที่น่ากลัวราวกับการทำข่าวของนักข่าวสงครามในประเทศตะวันออกกลางเริ่มลอยไปลอยมาเหนือจินตนาการของเรา จนเมื่อผ่านการพูดคุย ท่ามกลางบรรยากาศมึนตึงและระวังตัวไปไม่นาน จู่ๆ ผมก็เผลอยิ้มและเลื่อมใสในความคิดของผู้ชายน่ารักที่ชื่อ "แอนดริว ชาร์ลี เกร้กสัน" โดยลืมคำขู่ของนักข่าวสายบันเทิงผู้มองโลกด้านเดียวพวกนั้นไปเสียได้

หายจากงานเบื้องหน้าไปนานเลย ไปไหนมา?
ก็ไม่ได้ไปไหนนะครับ ถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะระยะเวลาในการรับงานของผมส่วนใหญ่จะทิ้งช่วงนานอยู่แล้ว บางครั้งเกือบ 2 ปีก็มี แต่ครั้งนี้อาจจะนานกว่าครั้งอื่นๆ เท่านั้นเอง จริงๆ แล้วระหว่างที่พักนี่ก็มีงานติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ นะ แต่ว่าหลายอย่างมันยังไม่ลงตัวก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำ เป็นไปได้ว่างานครั้งล่าสุดผมมีโอกาสได้ทำละครด้วยตัวเองมันก็เลยเหนื่อยมากขึ้น การหยุดพักครั้งนี้ก็เลยนานหน่อย

งานเบื้องหน้าของคุณเหมือนจะหยุดลงในปี 2549 กับละครเรื่องสะดุดรัก? แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?
ก็หาเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ปรกติเครียดๆ กับงาน ถึงไม่ได้ถ่ายทุวันแต่วันที่ไม่ได้ถ่าย ผมก้ยังรุ้สึกว่ายังต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่หลังจากที่หยุดไป ผมก็ได้ไปใช้ชีวิต ได้พักผ่อน ได้ไปเที่ยว ได้ไปเจอครอบครัวที่ไม่ค่อยได้เจอกัน ก็รู้สึกดีนะ แต่ยังมีคิดเรื่องงานในสมองเยอะแยะมาก จนได้มีโอกาสทำอีกเรื่องในช่วงนี้นี่แหละ

แล้วทำไมถึงเป็นช่วงนี้?
อืม ที่จริงตอนแรกผมก็กะว่าต้องรอเวลา เพราะละครเรื่องนี้มันมีรูปแบบเหมือนรายการทีวี ผมเลยต้องขายโฆษณาเองด้วย แล้วมันก็ไม่ใช่ว่าขอปุ๊บได้ปั๊บ เวลาออกอากาศมันมีเท่าเดิม แต่คนทำละครมีเยอะมาก ผู้สนับสนุนเขาก็ต้องดุว่าเรื่องไหนที่เหมาะกับเขา เราก็รอเวลาไปเรื่อยๆ จนมันได้ช่วงนี้พอดี แล้วที่กลับมาก็กะว่ากลับมาแล้วจะเริ่มทำงานเลย พอดีกับที่บัวชมพู ฟอร์ด แต่งงานพอดี กลายเป้นว่าตอนนั้นที่เราไปร่วมงานแต่งงานของบัว กลายเป้นการเปิดตัวเราอย่างเป้นทางการครั้งแรก จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นช่วงนี้หรอกครับ แต่ปฏิเสธเขาไม่ได้ (หัวเราะ)

ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดและนักแสดงชอบอะไรมากกว่ากัน?
ผมรู้สึกว่าแต่ละงานมันเกี่ยวเนื่องกันนะ มันสัมพันธ์กันไม่ว่าจะเป้นงานเขียนบท งานกำกับการแสดง หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราให้เวลากับมันและได้ลงไปในเนื้องานลึกมากพอ เราก็จะได้เกี่ยวข้องกับส่วนอื่นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยความรับผิดชอบแล้ว นักแสดงก็ไม่ต้องปวดหัวมาก ไม่ต้องอะไรกับใคร คุณทำหน้าที่ในบทบาทของคุณให้สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง แต่พอมาทำงานเป็นผู้จัด ต้องทำงานกับคนเยอะๆ ยังไงก็ปวดหัวเป้นเรื่องปรกติ แล้วเมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยอะไรกับใคร พอมาทำงานนี้ก็ต้องพูดคุยกับคนอื่นๆ มากขึ้น ก็ชอบทั้งคู่นะ แต่งานผู้จัดก็เป็นประสบการณ์ใหม่ ผมรุ้สึกว่าอะไรที่ไม่เคยทำ เราก็อยากจะลองทำ แล้วงานหนึ่งๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นงานสำหรับใครคนใดคนหนึ่งเสมอไป ผมว่าทุกคนทำงานทุกอย่างได้ เพียงแต่ว่าพยายามมากพอหรือเปล่า

เหมือนเป็นคนมีความสนใจเยอะอย่างนี้นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว มีอะไรที่อยากทำอีกบ้างไหม?
ไม่มีนะครับ ผมโตขึ้นมาก็เริ่มทำงานในวงการบันเทิงแล้ว ก็ไม่เคยคิดว่าจะไปทำอย่างอื่น ไม่รู้จะไปทำอะไรเหมือนกัน ก็มีบ้างท่ผมเคยไปทำออฟฟิศ ไปเเต่งบ้านอะไรแบบเนี่ย แต่ก็ไม่ได้เก่ง หรือว่าสุดยอดอะไร มันก็แค่สนุกที่ได้ทำเท่านั้นเอง และก็มีบ้างเหมือนกันนะที่เห็นเวลาคนอื่นเขาทำอะไร เราเองก็อยากทำแบบนั้นได้บ้าง เห้นเขาถ่ายรูปกันสวยๆ เราก็อยากถ่ายสวยแบบเขาบ้าง มีเพื่อนเปิดร้านอาหารก็อยากทำ แต่เอ...แล้วจะทำได้ไหม? สงสัยคงปวดหัวไม่เอาดีกว่า มันก็แค่อารมณ์สนุกชั่ววูบเท่านั้นเอง


มีคนบอกว่าคุณมีโลกส่วนตัวสูง ชอบหรือไม่ชอบตัวเองตรงจุดนี้?
ผมไม่ได้รู้สึกชอบหรือไม่ชอบนะ ผมเพียงแต่รู้สึกว่า ถ้าเป้นงานแสดง ผมก็ต้องใช้สมาธิกับบทเยอะ มันมีความจำเป็นที่ต้องอยู่กับบท อยู่กับตัวเอง สำหรับบางคนมันอาจเป็นเรื่องง่าย เหมือนแค่การก้าวเดินข้ามเส้นบ่างๆ แต่สำหรับบางคนเดินยังไงมันก็ไม่ข้ามสักที มันอยู่ที่ตัวเองพร้อมหรือไม่พร้อมด้วย ถ้าเราพร้อมเมื่อไรเราก็ทำได้ ในมุมมองของผม ผมก็แค่อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในมุมมองของคนอื่น บางครั้งเวลาผมเจอคนที่ชอบ ผมก็คาดหวังนะว่าจะได้รับความเป็นกันเองจากเขา ผมก็เข้าใจนะ แต่ว่าสำหรับผม ถ้าอยู่ในเวลางาน ผมก็ต้องทุ่มสมาธิให้เรื่องงานก่อน แค่นั้นเองครับ แต่นอกเวลางาน ผมก็ปรกติ ไม่ได้มีอะไร

โลกกำลังเกิดวิกฤตหลายเรื่อง วงการบันเทิงหรือศิลปะการแสดงจะช่วยโลกใบนี้ได้บ้างไหม?
ถ้าสังเกตบางครั้ง ประเทศที่เขาเจริญทางวัตถุแล้ว ทางวัฒนธรรมเขาก็จะเจริญไปด้วย แต่บางครั้งถ้าเรามองศิลปะว่าต้องเป็นเพียงแค่ศิลปะ แค่รูปเขียน รูปปั้นอะไรแบบนี้ เราก็จะจำกัดอยู่แค่นั้น ผมว่าศิลปะมันไม่ใช่อะไรแค่นั้น บางครั้งคนเราก็ใช้ชีวิตแบบมีศิลปะ ผมว่าศิลปะอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง บางทีมันก็เป็นการสะท้อนจิตใจคนออกมาเป็นงานทั่วๆ ไป อย่างภาพยนตร์ ละคร หรือดนตรี สำหรับผม ผมคิดว่าช่วยได้นะ ช่วยให้โลกดีขึ้นได้แน่นอน แต่จะดีขึ้นในแง่ไหนล่ะ ในแง่จริยธรรม บางประเทศที่เขาเจริญทางด้านวัตถุ ส่วนใหญ่ก็จะมาพร้อมกับความเสื่อม จริยธรรมก็มักจะตกต่ำลง ผมไม่ได้ว่าใครนะ แต่ผมว่าในบางประเทศที่เจริญมากๆ หรือเริ่มจะเจริญขึ้นมา คนที่เรียนสูงๆ ส่วนใหญ่กลับเหยียดคนที่เรียนต่ำกว่า ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ผมไม่ได้เรียนสูง บางครั้งผมก็ถูกเหยียด แต่ผมว่าคนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งเรียนสูง ควรจะต้องเข้าใจคนที่ไม่ได้เรียนเท่ากับตัวเอง แล้วควรจะปรับทุกอย่างให้ไปด้วยกันได้ เดี๋ยวนี้เราทุกคนถูกสอนให้มีทัศนคติแค่ว่า โตขึ้นมาจะเรียนอะไรดีเพื่อให้ได้เงินเยอะสุด เห็นตัวอย่างในบ้านเมืองเราใครทำเรื่องดีๆ แต่ไม่ได้เงิน เขาคนนั้นก็ถูกมองว่าเป็นคนโง่ ผมว่ามันถูกปลูกฝังมาผิดวิธี สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ลงเหวกันหมดแหละ (หัวเราะ)

มุมมองแบบนี้ถูกสอดแทรกในละครเรื่องใหม่ด้วย?
ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะ ผมไม่ใช่คนเขียนบทแต่ก็ได้พูดคุยกับคนเขียนบทอยู่ตลอด เพราะทั้งหมดมันเริ่มจากตัวผม เรื่องนี้มันเป็นละครที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของรายการเกมโชว์ มีพิธีกรชายเป้นตัวแทนของผุ้ชาย พิธีกรหญิงเป้นตัวแทนของผู้หญิง แขกรับเชิญที่มาก็จะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นคนรัก เป็นเพื่อน เป็นพ่อลูก ที่พออยู่ด้วยกันทุกวัน มันก็เริ่มจะมองข้ามสิ่งดีๆ ของฝ่ายตรงข้ามไป กลายเป็นไม่พูดกัน โกรธกันด้วยเรื่องงี่เง่าเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องผมอยากให้คนดูได้เห็นมุมมองเรื่องของอีโก้ หรือเรื่องของเส้นผมบังภูเขา บางทีแค่เรายอมนั่งคุยกัน ตัดอีโก้ทุกอย่างทิ้งไปแล้วขอโทษกันดีๆ ก็จบแล้วอ่ะ แต่ว่าพูดกันไม่ได้ มันเสียฟอร์ม แก่นของเรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เอง

ดูคล้ายๆ กับเหตุการณ์บ้านเมืองของเรา ตั้งใจสะท้อนไปถึงการเมืองเลยหรือเปล่า?
ไม่ได้ตั้งใจให้มันสะท้อนขนาดนั้นนะ มันเป้นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนรักกันมากกว่า มันยังคงเป็นละครที่ใช้ความรักนำเรื่อง แต่ถ้าจะให้โยง ผมก็ว่ามันก็โยงได้นะ ผมคิดว่าบางทีปัญหาใหญ่ๆ มันก็เป้นเรื่องของอีโก้นี่แหละ

คนไทยหัวสมัยใหม่มักมองว่าวงการบันเทิง เช่น ละคร ภาพยนตร์ หรือดนตรี ของบ้านเราตามหลังประเทศพัฒนาแล้วกว่า 100 ปี คุณคิดเห้นอย่างไรกับคำกล่าวหานี้?
ถ้าจะให้เขาเป็นต้นแบบ เขาก้เป้นต้นแบบแน่นอนอยู่แล้ว แต่วัฒนธรรมของแต่ละประเทศมันไม่เหมือนกันนะ ถ้าจะให้ไปเทียบกันโดยใช้วัฒนธรรมของเราเป้นหลัก เขาอาจจะตามหลังเราอยู่เกือบ 1,000 ปีก็ได้ (หัวเราะ) ใช่ป่ะ ให้เขามารำลิเก มาร้องรำตัดแบบของเราได้หรือเปล่า เขาก็คงทำไม่ได้ แต่ถ้าให้เขาเป้นหลัก เราก็ต้องตามเขาอ่ะ ผมว่าหลายๆ ประเทศทันกันหมดนะ ทุกวันนี้ Hollywood ก็พยายามจะเข้ามาเอามุมมองของคนเอเชียไปทำหนัง เพราะเรื่องของเขาก็เริ่มตันแล้ว ผมคิดว่าทุกวันนี้ มันไม่ได้มีใครเหนือกว่าใครแล้ว มันเหนือกว่าที่เงินและรสนิยมบางอย่างเท่านั้นเอง แล้วผมก็คิดว่าคนไทยเราเก่งด้วยนะ เพราะทั้งๆ ที่งบประมาณเราไม่มากเท่าเขา แต่เราก็ยังทำกันได้ขนาดทุกวันนี้

อีก 50 ปีข้างหน้า วงการบันเทิงในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?
ไม่รู้นะ ในอนาคตเราอาจจะไม่มีทีวีดูกันแล้วก็ได้ เราอาจจะต้องตามหาพลังงานใหม่ๆ ใช้ชีวิตอีกรุปแบบหนึ่ง สื่อมวลชนก็อาจจะเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่สำหรับเมืองไทยผมคิดว่า ถ้ายังมีละคร มี ภาพยนตร์ ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ หรอก เพราะในวัฒนธรรมของเรา เรามีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เช่น การพูดถึงบางองกรค์บางสถาบันไม่ได้มากนัก บางทีแค่แต่งเครื่องแบบเหมือนเขา เจ้าของอาชีพก็อาจจะ เฮ้ย! คุณมาทำให้คนในอาชีพผมดูงี่เง่า ดูตลกไม่ได้ อย่างเมืองนอกเขาพูดถึงตำรวจได้ พูดถึงประธานาธิบดีได้ พูดถึงอะไรก็ได้เยอะแยะไปหมด ซึ่งก็ไม่ได้ทั้งหมดนะ เพราะเขาก็มีข้อจำกัดของเขาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ของเรานี่สิ มันมีข้อจำกัดเยอะกว่า ทางเลือกมันน้อยมาก เหมือนผมบางครั้งก็คิด ว่าสิ่งที่เรานำเสนอมันใหม่ดี มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะพูดถึง แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก้ทำไม่ได้ บางอย่างมันแตะต้องไม่ได้




แล้วมีทางออกไหม?
โห ไม่รู้พูดไปจะเข้าตัวเองหรือเปล่า? (หัวเราะ) ขอออกตัวก่อนเลยนะว่า สำหรับใจผมแล้ว ผมรักสถาบันกษัตริย์มาก ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่ง และไม่เคยคิดจะไปแตะต้องอยู่แล้ว แต่สำหรับระบบอื่นๆ ที่มันเป็นเรื่องจริงในชีวิตเนี่ย ผมว่ามันควรจะพูดถึงได้บ้าง เราไม่ได้เอาใครมาว่า แต่บางอย่างเราก็เห็นอยู่แล้วตามข่าว ตามท้องถนน ตามชีวิตประจำวัน เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าอะไรใครทำ อะไรเป็นยังไง บางอย่างเราอยากเป้นกระจกสะท้อนสิ่งที่เราเห็นผ่านละคร หรือภาพยนตร์ แต่เราก็ทำไม่ได้ ผมว่าสิ่งนี้แหละที่เราตามหลังประเทศพัฒนาแล้ว มันคงต้องใช้เวลา เมื่อก่อนมันยิ่งกว่านี้อีกนะ ทุกวันนี้คนเราก็เริ่มเปิดรับมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ ก็คงต้องให้เวลาต่อไปอีกเรื่อยๆ

เคยได้ยินไหมว่าโลกเราจะล่มสลายในปี 2012 อีกแค่ 3 ปีเองนะ ถ้าเป็นจริงขึ้นมา คุณมีแผนอะไรในชีวิตไหม?

ผมไม่ได้กังวลอะไรนะ อาจจะรู้สึกแค่ว่าทำไมคนเราต้องมาทำดี มาช่วยเหลือโลกกันตอนนี้ ทำชั่วมาทั้งชีวิตแล้ว (หัวเราะ) จริงๆ แล้ววิธีแก้ไขมันไม่ยากหรอก แต่วิธีการมันไปกระทบอะไรหลายๆ อย่าง เอาง่ายๆ อย่าขับรถสิ เปลี่ยนระบบขนส่งสิ พลังงานแสงอาทิตย์มีเยอะแยะ แต่อาจเป้นของฟรี ไม่มีใครได้ส่วนแบ่งก็เลยไม่นำมาใช้จริงจังหรือเปล่า ไม่รุ้นะ ผมคิดว่าเราทำได้แต่ไม่ยอมทำกัน เพราะมันกระเทือนกับรายได้ของบางภาคส่วน ก็มันเรื่องเงินนี่นะ เก็บกันไว้เยอะๆ สุดท้ายก็เอาไปไม่ได้สักคน

คุณกลัวอะไรเกี่ยวกับอนาคตบ้าง?
ผมเป็นคริสเตียนเลยไม่ค่อยกังวลใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตมากนัก เพราะรู้สึกว่ายังไงพระเจ้าก็จะคอยนำทางเรา ผมไม่ค่อยกลัวอด ยังไม่มีอะไรต้องห่วงเพราะผมยังไม่มีครอบครัว ผมไม่มีภาระ มีแค่หมา แมว และปลาที่เลี้ยงไว้เท่านั้นเอง จริงอยู่ที่ผมมีลูกน้องที่บริษัท แต่ถ้าพอถึงเวลาแล้วผมอยู่ไม่ได้ เขาก็อยู่กับผมไม่ได้ เขาก็ต้องเข้าใจนะ สิ่งที่เราทำได้ก็คือทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ถ้าเราทำได้ดีที่สุดแล้วมันยังไม่ดีพอ เราก็ต้องยอมรับสภาพไป แค่ให้สบายใจ ทำในสิ่งที่ควรทำให้เต็มที่ที่สุด เท่าที่เราจะทำได้

It's undeniable that the news on the newspaper in Thailand effects much of our emotion though there aren't enough raw information to be analyzed. Therefore, it's not surprising that Crush Magazine felt a bit paranoid when getting a chance to interview an actor/ producer that has his fame in the newspaper as annoying and unreachable.
But after having conversation with him, we found out that Andrew Charlie Gregson has something the entertainment reporters might be missing.

He has been missing from the television screen for a while since it was his unsual breaking period, but it took a bit more time this time. During his break, he found time for himself to live his life seriously while planning on his new project. Then it was the right time to produce and promote his series due to the sponsor. And it was just the time when his colleague, Buachompoo Ford, weds, so he spread the news in her wedding's day. Asking what role he prefers, an actor or a producer, his answer was that every parts of the job connected.
So he thought of its as the new experiences he encountered.
Apart from entertainment industries, he couldn't think of himself working in other field.

Some said he was always surrounded by himself, but he didn't feel like it. He just focused mainly on his role when he worked. In his resting time, he wasn't like that.

Asking about his view on arts, he commented that people could live with arts, not just looking at it. Arts helped improve people's mind. Some people with higher education might look down on the one with lesser degree and he was against this ideas. Ones should understand each other and adapted themselves in order to live harmoniously. And he was also against the ideas of doing anything, even evil, in order to get rich. He tried hard to blend in his views in his new series by projecting that if ones got rid of their ego. they could live with others peacefully.

He commented on entertainment business in Thailand that it kept going forward. He didn't consider it following others, but it's about taste and capital. In the next 50 years, in his opinion, there might not be enough electricity to generate the television, but the content of the replacing media would still be about general love due to many cultural restrictions. He would love to criticize something in the societies, but it might not happen. Still, he belived it would change gradually.

He didn't concern about the rumor that the world might not exist in the next years. He also didn't fear of the future since he belived that God would endlessly light his way.
He wasn't afraid of anything since he belived that he had done everything fully enough. If that didn't reach the target, he would easily accept it.

Wednesday 3 August 2011

MV ฝีมือแฟนคลับแอนดริว ไม่รัก......ทำไม่ได้นะเนี่ย








♥♥♥♥♥ Music Video แต่ละเพลงทำำขึ้นจากใจแฟนคลับ♥♥♥♥♥

ตอนนี้อยู่ในช่วงรวบรวมค่ะ แฟนคลับท่านใดทำไว้แล้วยังไม่ได้ลงแจ้งเข้ามาได้นะคะ